วันพฤหัสที่ 10 พฤศจิกายน 65 หุ้น MORE มีการเปิด ATO ด้วยปริมาณซื้อขายที่เยอะมาก 1500 ล้านหุ้น เทียบเท่ากับ 22 % ของทุนจดทะเบียน ซึ่งปกติเทรดอยู่เฉลี่ย 30-50 ล้านหุ้นต่อวัน มี 1000 หุ้นบางแต่ทั้งรวมวัน ซื่ง 1500 หุ้นถือว่าผิดปกติ ราคาปิดตลาดจาก 2.78 โดดไป 2.90 ซึ่งไม่เยอะ หลังจากนั้นเวลา 11.30 ก็ร่วงไป 1.95 (-30% Floor) และอีกวัน 11 พฤจิกายน เปิดราคามา Floor เลยที่ 1.37
มีคนเสียหายแน่น่อน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นบริษัทโบรกเกอร์ที่เป็นนายหน้าซื้อขายหุ้นประมาณว่าเสียหายถึง 4500 ล้านบาท เรามาติดตามกันว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร

ผู้ถือหุ้นใหญ่ “อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ” หรือ “เฮียม้อ” และอันดับที่ 4 อภิมุข บำรุงวงศ์ ที่คนสร้างปัญหา

ประวัติหุ้น More
MORE เป็นหุ้นของบริษัท MORE RETURN มอร์ รีเทิร์น จำกัด www.morereturn.co.th (มหาชน)www.morereturn.co.th เปลี่ยนชื่อมาจาก บริษัทชื่อ “บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน)” หรือ “DNA” ซึ่ง ประกอบธุรกิจขายเทป ขายซีดี เปลี่ยนมาเป็นดำเนินงานธุรกิจที่หลากหลาย อาทิเช่น พัฒนาคุณภาพน้ำประปา พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร เครื่องสำอาง/อาหาร และผู้จัดจำหน่ายแร่ไพโรลูไซต์แต่เพียงผู้เดียวทั้งในไทย และต่างประเทศ
หุ้น “DNA” หรือ “MORE” ในอดีตปี 2561 เคยมีข่าวฉาว จากคดีฉ้อโกงเงินดิจิทัล บิทคอยน์ คิดเป็นเงินประมาณ 797 ล้านบาท จากนักลงทุนชาวฟินแลนด์
โดยจากกรณีนั้น ปริญญา จารวิจิต อดีตกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ DNA หรือ MORE ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการใหญ่ในการวางแผนหลอกต้มนายเออาร์นี และยังมีอดีตผู้บริหารโบรกเกอร์ดังเข้าไปเกี่ยวข้อง กรณีนั้น หุ้น “MORE” ตกลงจากราคาประมาณ 2.40 บาท ในปี 2561 ลงสู่ราคา 0.15 บาทต่อหุ้น ในปี 2563
บริษัท “MORE” มีทรัพย์สิน 1.6 พันล้าน มีหนี้สินราว 300 ล้าน แต่มีเงินสดเพียง 18 ล้านบาท โดย 3 ปีย้อนหลังบริษัท “MORE” ไม่เคยมีรายได้ เกิน 145 ล้านบาท และนับเป็นบริษัทกลุ่มที่ที่มีรายได้น้อยสุดในตลาดหลักทรัพย์ และมีมูลค่า BOOK VALUE เพียง 0.22 บาทต่อหุ้น หรือ ส่วนผู้ถือหุ้นเพียง 1.3 พันล้านบาท เพียบกับ Market Cap ที่สูงเฉียด 1 หมื่นล้าน
ข้อน่าสังเกตเกี่ยวกับสินทรัพย์ของบริษัทคือ ปี 2564 บริษัทมีกำไร 1,158 ล้านบาท จากการรับหุ้นแทนการชำระด้วยเงินสด โดยกำไรที่ผิดหูผิดตา ที่ปรึกษาการเงินอิสระให้ความเห็นว่าสูงเกินจริง
หุ้น “MORE” มีการขึ้นมาจาก 0.15 บาทต่อหุ้น ในเดือนตุลาคม 2563 สู่ เกือบ 3 บาทต่อหุ้น ในเดือน พฤศจิกายนปี 2565 และถูกทุบ 2 ฟลอร์เหลือเพียง 1.37 บาทต่อหุ้น หรือลดลงกว่า 50% ใน 2 วัน

ความเสียหายจาก “พอร์ตเงินสด” หรือ บัญชี Cash
การซื้อขายหุ้นในปัจจุบันนั้น มีหลายแบบ หนึ่งในนั้นมีรูปแบบที่เรียกว่า “พอร์ตเงินสด” โดยจะมีการเคลียร์เงินกันในสองวันทำการ T+2 คือ ถ้าหากลูกค้ามาซื้อหุ้นกับโบรกเกอร์ในวันนี้ ลูกค้าจะได้หุ้นไป แล้วในวันมะรืนค่อยจ่ายเงินให้โบรกเกอร์ ในทางกลับกัน ถ้าลูกค้าขายหุ้นให้โบรกเกอร์ในวันนี้ อีกสองวันถัดมา โบรกเกอร์ต้องจ่ายเงินให้ลูกค้าที่สามารถขายหุ้นได้
เพื่อจูงใจให้ลูกค้าซื้อหุ้นเยอะๆ ทางโบรกเกอร์จะมีสิ่งที่เรียกว่า “เครดิตวงเงิน” ให้กับ บัญชี cash เช่น ลูกค้าสามารถมัดจำเงินไว้ 20% เท่านั้นก็พอ กล่าวคือ ถ้าคุณมัดจำเงิน 200,000 บาทหรือมูลค่าหุ้นที่อยู่ในพอร์ต ก็สามารถไปซื้อหุ้นได้ในราคาราว 1,000,000 บาทเลยทีเดียว
โดยจากประวัติที่สืบทราบ คือ อภิมุข บำรุงวงศ์ หรือ ปิงปอง อดีตพนักงานบริษัทหลักทรัพย์ ได้ใช้บัญชีซื้อขายจาก บริษัทหลักทรัพย์กว่า 10 แห่ง เข้าทำรายการกว่า 4.5 พันล้านบาท และภายหลังตลาดเปิดเพียงไม่กี่นาที หุ้นก็ดิ่งลงสู่ราคาฟลอร์ที่ 1.95 บาทต่อหุ้น โดยวางวงเงินด้วยหุ้น More มูลค่าประมาณ 900 ล้านบาท
ความเสียหายจากหุ้น More
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน หลังผ่านไป 1 วันทำการ กลุ่มโบรกเกอร์ ได้เข้าไปหารือกับ ก.ล.ต. เพื่อขอให้คำสั่งซื้อดังกล่าวเป็นโมฆะ เนื่องจากหุ้น MORE มีสภาพการซื้อขายที่ผิดปกติ แต่ ก.ล.ต. ไม่ยอมให้ยกเลิก โดยระบุว่า “เป็นความประมาทเลินเล่อของโบรกเกอร์เอง” และถ้ายอมให้โมฆะได้ คนอื่นที่ทำรายการซื้อ-ขาย อย่างถูกต้อง ก็จะโดนผลกระทบไปด้วย ทำให้กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ 10 กว่าราย จะได้รับความเสียหาย ไม่ต่างกับการปล้นกลางแดด
ปปง. สั่งโบรกฯ สอบข้อมุลธุรกรรมซื้อขายหุ้น MORE หารายการซื้อขายผิดปกติ ก่อนรวบรวมข้อมูลส่ง ปปง. ชี้หากพบผิดจริง พร้อมขยายสอบเส้นทางการเงิน และดำเนินทางคดีต่อไป
ข่าวล่าสุดวันจันทร์ที่ 14 พ.ย. 2565 อภิมุข บำรุงวงศ์ ได้จ่ายเงิน 100 ล้านจาก 4500 ล้าน
ในกรณีนี้ เป็นบทเรียนสำคัญ ให้โบรกเกอร์ได้ระมัดระวังมากขึ้นด้วยในเรื่องการปล่อยวงเงินเครดิต เพราะอาจมีนักลงทุนบางคนใช้ช่องว่างนี้ เล่นงานโบรกเกอร์อย่างเจ็บแสบ เพื่อปล้นเงินกันกลางอากาศในลักษณะนี้อีก

ตลาดหลักทรัพย์ และ โบรกเกอร์ 11 รายฟ้องผู้ซื้อ MORE แล้ว
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ แถลงถึงความคืบหน้ากรณีหุ้น MORE โดยพบว่า
- เหตุการณ์เริ่มจาก ในวันที่ 10 พ.ย. สภาพการซื้อขายผิดปกติ โดยราคาปรับตัวสูงขึ้น +4.3% จากราคาปิดวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งวันที่สูงมากถึง 7,143 ล้านบาท โดยในช่วงที่เปิดตลาด หุ้น MORE มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 1,500 ล้านหุ้น
- พบว่ามีผู้เสนอคำสั่งซื้อแค่รายเดียวเท่านั้น ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หลายราย ที่ราคา 2.9 บาทต่อหุ้น ส่วนฝั่งขายมีการส่งคำสั่งเสนอขายจำนวนมากจากหลายราย ตั้งแต่ 70 ล้านหุ้นต่อราย ไปจนถึง 600 ล้านหุ้นต่อราย ที่ราคาใกล้เคียงกับราคาเสนอซื้อ
- ในวันนั้น เมื่อเปิดตลาดแล้ว ได้เกิดการจับคู่ซื้อขายกับผู้ขายหลายรายผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่ง หลังจากนั้นไม่ถึง 20 นาที ราคาก็ปรับตัวลงจนไปต่ำสุดที่ Floor ที่ราคา 1.95 บาท และปิดตลาดที่ราคาดังกล่าว
- วันต่อมา 11 พ.ย. ราคาเปิด Floor ทันทีที่ 1.37 บาท แต่วันนี้มีการซื้อขายเพียง 134 ล้านบาท จาก 7,143 ล้านบาทในวันก่อนหน้า
ซึ่งตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันที่ 10 พ.ย. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทสมาชิกที่เกี่ยวข้อง“หลังจากตรวจสอบแล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้พบธุรกรรมที่ต้องสงสัย”สำหรับธุรกรรมที่ไม่ผิดปกติ บริษัทหลักทรัพย์ได้ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ลูกค้าไปแล้ว ส่วนธุรกรรมที่พบความผิดปกติ บริษัทหลักทรัพย์จะตรวจสอบลูกค้าอย่างเข้มข้น และระงับการทำธุรกรรมของลูกค้าระหว่างที่ทำการตรวจสอบนอกจากนี้
ทางด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ที่ได้รับความเสียหายจำนวน 11 แห่ง ตอนนี้ได้เข้าแจ้งความกับทาง พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) แล้วโดยมีการฟ้องร้องนายอภิมุข และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีก 20 คนในข้อหาฉ้อโกงทาง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางก็ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พุฒิเดช ทำการตรวจสอบกรณีดังกล่าวทันทีโดยจะจัดพนักงานสอบสวนแยกสอบปากคำผู้เสียหายแต่ละราย เพื่อรวบรวมข้อมูลพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังขอความร่วมมือให้ผู้ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น MORE ที่ผิดปกติ สามารถติดต่อเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางหมายเลขโทรศัพท์ SET Contact Center ที่ 02-009-9999