
เฟซบุ๊ก รายได้ลดลง 2 ไตรมาสติด กำไรหายครึ่ง หุ้นร่วง 20% ในคืนเดียวโดยหากนับตั้งแต่ต้นปี หุ้นเฟซบุ๊ก หรือ Meta Platforms ร่วงลงมาแล้วกว่า 70% คิดเป็นมูลค่าบริษัทที่หายไปกว่า 9.2 ล้านล้านบาท ทำจุดต่ำสุดในรอบ 6 ปีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อคืน บริษัทได้มีการรายงานผลประกอบการ และคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตซึ่งมีหลายส่วนที่ผิดจากที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้

เริ่มกันที่ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2022 รายได้ 1.0 ล้านล้านบาท ลดลง 4% กำไร 1.7 แสนล้านบาท ลดลง 52% โดยเป็นการลดลงของรายได้ ติดต่อกัน 2 ไตรมาส หลัก ๆ เป็นผลมาจาก
- การปรับนโยบาย iOS ของ Apple
- การแข่งขันกับ TikTok
- สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ธุรกิจจึงโฆษณาลดลง
ซึ่งก็เป็นไปในทางเดียวกันกับหุ้นเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลรายอื่น ๆ ที่มีรายได้จากโฆษณาเป็นหลัก ทั้ง Snapchat ที่เติบโตชะลอตัว และ YouTube มีรายได้ลดลง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จนหุ้นมีการปรับตัวลงรุนแรงในวันที่รายงานผลประกอบการ Snapchat -30% Alphabet เจ้าของ YouTube -9% นอกจากตลาดโฆษณาที่ย่ำแย่แล้ว อีกสาเหตุสำคัญก็คือ การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ สกุลเงินอื่น ๆ จึงอ่อนค่าลงธุรกิจที่มีรายได้จากทั่วโลกอย่าง เฟซบุ๊ก พอต้องรายงานผลประกอบการเป็นดอลลาร์สหรัฐจึงได้รับผลกระทบไปด้วยจริง ๆ แล้ว
หากไม่รวมผลกระทบจากเรื่องค่าเงิน เฟซบุ๊กก็ยังถือว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นอยู่ราว 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น มากถึง 8.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 19% เมื่อเทียบกับปีก่อนหลัก ๆ เป็นผลมาจากการลงทุนใน AI เพื่อทำระบบแนะนำ และ Metaverse ภายใต้กลุ่มธุรกิจ Reality Labs เมื่อรายได้ลดลง แต่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นมากไตรมาสที่แล้ว เฟซบุ๊กจึงมีกำไรลดลงไปเกินกว่าครึ่งหนึ่ง
ทั้งนี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ก็ได้มีการโพสต์อัปเดตบนเฟซุบ๊กส่วนตัวเพิ่มเติมว่าเฟซบุ๊กจะรัดเข็มขัด คือในภาพรวมจะควบคุมค่าใช้จ่ายแล้ว ขนาดองค์กรจะเท่าเดิม หรืออาจจะเล็กลงกว่าเดิมอีกแต่ในบางทีมก็จะใหญ่ขึ้นมาก ตามการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของบริษัท โดยจะเป็นการโฟกัสการลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก ๆ ก็คือ
- AI Discovery Engine ระบบแนะนำที่จะทำมาแข่งกับ TikTok ปัจจุบัน Reels แม้จะมีคนเล่นเยอะขึ้น แต่ปัญหาก็ยังอยู่ที่ ยังไม่สามารถ monetize หรือหารายได้ ได้เหมือนกับบนฟีดและสตอรี่โดยคาดว่าปัจจุบัน Reels บนทุกแพลตฟอร์มสามารถสร้างรายได้ราว 1.1 แสนล้านบาท ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
- Messaging หรือแพลตฟอร์มแช็ตของบริษัท ทั้ง WhatsApp, Instagram Direct และ Messenger คือบริษัทเห็นโอกาสว่าธุรกิจกลุ่มนี้ สามารถหารายได้เพิ่มเติมได้จาก Click-to-Messenging ที่ทำให้คนยิงแอดติดต่อกับลูกค้าได้โดยตรง กับ Paid Messaging ซึ่งเป็นการเอา WhatsApp ไปผูกกับบริการของบริษัท เช่น Salesforce และ JioMartตรงนี้ ก็น่าสนใจเพราะเดิมที WhatsApp เป็นแพลตฟอร์มที่มีคนใช้ระดับ 2 พันล้านบัญชี แต่ยังไม่สามารถสร้างรายได้หากการนำไปผูกกับธุรกิจ ขา B2B เแบบนี้ ก็อาจจะเป็นช่องทางการหารายได้เพิ่มเติม ที่เฟซบุ๊กไม่เคยมีมาก่อน
- Metaverse ธุรกิจนี้สรุปสั้น ๆ คือยังเป็นวุ้น ลงทุนหนักแต่ยังไม่ได้มีรายได้เข้ามาแต่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยืนยันว่าจะยังคงกระหน่ำการลงทุนในธุรกิจต่อไป ไตรมาสที่แล้ว Reality Labs ขาดทุนไป 1.4 แสนล้านบาทตั้งแต่ต้นปี ขาดทุนรวมไปแล้ว 3.6 แสนล้านบาทและจะยังขาดทุนเพิ่มมากขึ้นอีกในปีหน้า
ตามการรายงานของบริษัทสรุปสถานการณ์เฟซบุ๊กในตอนนี้ คือ บริษัทกำลัง “Self-Funding” หรือก็คือ การลงทุนในธุรกิจใหม่โดยใช้เงินทุนจากรายได้ ที่หาได้เองได้รายได้โฆษณาจากเฟซบุ๊กมา ก็จะเอาไปลงทุนใน AI, Messaging และ Metaverse แต่เหมือนว่าสถานการณ์ในปีนี้ไม่ค่อยเป็นใจกับเฟซบุ๊กเท่าไร คือออาจจะชะล่าใจจากปีที่แล้วที่มองว่าตลาดโฆษณายังสดใส จึงกระหน่ำลงทุนหนักพอมาเจอสถานการณ์ไม่คาดฝัน ผลประกอบการและการคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตออกมา ไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดหุ้นของเฟซบุ๊ก จึงถูกเทขายออกมารุนแรงจนร่วงไป 20% ในคืนเดียว
Meta (Facebook) สูญมูลค่ารวมไปแล้วกว่า 25 ล้านล้านบาท (6.76 แสนล้านดอลลาร์) หลังจากดิ่งราว -70% จาก All Time High ตกจากบริษัท Top 20 ของสหรัฐฯ ไปแล้ว

ข้อมูลด้านผู้ใช้งาน
ยอดผู้ใช้งานเฟซบุ๊กรายวัน (DAUs) อยู่ที่ 1.98 พันล้านราย ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ยอดผู้ใช้งานรายเดือน (MAUs) อยู่ที่ 2.96 พันล้านราย มากกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.94 พันล้านราย
รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (ARPU) อยู่ที่ระดับ 9.41 ดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 9.83 ดอลลาร์
เมตาคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 4/2565 จะอยู่ที่ 3.0-3.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.22 หมื่นล้านดอลลาร์
รายได้จาก Reality Labs ซึ่งเป็นอีกแผนกหนึ่งที่เมตาสร้างขึ้นเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์สำหรับเมตาเวิร์สนั้น ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 285 ล้านดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ต้นปีนี้ รายได้จากธุรกิจ Reality Labs ลดลงไปแล้วถึง 9.4 พันล้านดอลลาร์ และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีก

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กดดันพนักงาน เพิ่มความพยายาม 200% เลี่ยงตกงาน ให้เวลา 3 เดือน ถ้าไม่พอใจก็ลาออกไป
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของบริษัทเมตา (Meta) บริษัทแม่ของ “Facebook” ส่งสารที่ชัดเจนไปยังพนักงานบริษัทให้เพิ่มความพยายาม 200% เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเลย์ออฟ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแห่งนี้กำลังลดต้นทุนด้านบุคลากรครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับช่วงขาลงของธุรกิจ
“คุณมีเวลาสามเดือนที่จะพิสูจน์คุณค่าในตัวเอง พยายามให้ได้ 200% ถ้าคุณไม่พอใจก็ลาออกไปได้เลย” พนักงานคนหนึ่งในบริษัทเมตาซึ่งไม่เปิดเผยชื่อให้สัมภาษณ์เว็บไซต์บิสสิเนส อินไซเดอร์ โดยอ้างถึงคำพูดที่ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวแก่พนักงาน
ถ้อยคำที่กดดันพนักงานของซักเคอร์เบิร์ก มีขึ้นหลังจาก “เมตา” รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ว่า มีรายได้รวม 27,714 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2564 และมีกำไรสุทธิ 4,395 ล้านดอลลาร์
รายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจแอปต่าง ๆ เฉพาะส่วนนี้ลดลงเหลือ 27,429 ล้านดอลลาร์ มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 9,336 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ธุรกิจใหม่ “เมตาเวิร์ส” มีรายได้ลดลงเหลือ 285 ล้านดอลลาร์ ขาดทุน 3,672 ล้านดอลลาร์ แม้จำนวนผู้ใช้งานรวมทุกแพลตฟอร์มประจำทุกเดือนเพิ่มเป็น 3.71 พันล้านคน
นอกจากนี้ เมตา ยังแถลงว่าปี 2566 กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับเมตาเวิร์สจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และมีผลการดำเนินงานขาดทุนมากกว่าปีปัจจุบัน โดยกลุ่มธุรกิจนี้ถูกกำหนดแล้วว่าจะเริ่มทำกำไรได้ในระยะยาว.ส่วน “เมตา แพลตฟอร์มส์” ระบุว่า บริษัทมีกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ของปีงบการเงิน 2565 อยู่ที่ 1.64 ดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของรีฟินิทิฟ คาดการณ์ไว้ที่ 1.89 ดอลลาร์
เว็บไซต์บิสสิเนส อินไซเดอร์ รายงานโดยอ้างถึงการสัมภาษณ์พนักงานที่ทำงานกับเมตาในปัจจุบัน จำนวน 3 คน ว่า เมตาได้ปรับโครงสร้างทีมงานหลายส่วนรวมทั้งพนักงานระดับผู้จัดการ ขณะที่ซักเคอร์เบิร์กพยายามกระตุ้นพนักงานให้ทำงานมากขึ้น.หนึ่งในพนักงานสามคน เปิดเผยด้วยว่า ผู้จัดการของเขาได้รับคำเตือนว่า แม้กระทั่งคนงานที่ทำงานดีที่สุดในบริษัทตอนนี้ก็อยู่ในสถานะไม่ปลอดภัยเกี่ยวกับตำแหน่งงาน.เมตา รายงานว่า นับจนถึงช่วงปลายไตรมาสสองของปีนี้ บริษัทมีพนักงานทั่วโลก 83,500 คน
“ในปีหน้าบริษัทจะลดพนักงานลงประมาณ 20% ในปีหน้า แต่การลดจำนวนพนักงานจะออกมาในรูปแบบใดนั้น ผมยังไม่มั่นใจ” พนักงานของเมตา กล่าว
ที่มา ลงทุนแมน, mgronline.com