RCEP

ไทยเข้าร่วม RCEP สัญญาการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก 15 ประเทศ

– สัญญาการค้าเสรี RCEP มีประเทศเข้าร่วม 15 ประเทศ โดยมีประเทศอาเซียน 10 ประเทศ + จีน + ญี่ปุ่น + เกาหลี + ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
– เป็นเขตการค้าเสรีที่มีประชาชนถึง 1 ใน 3 ของโลกเลยทีเดียว ประชากรรวมกัน 2.2 พันล้านคน
– GDP รวมกันกว่า 26.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 30% ของ GDP โลก
– มูลค่าการค้ารวมกว่า 10.4 ล้านล้านดอลลาร์หรัฐ หรือคิดเป็นเกือบ 28% ของมูลค่าการค้าโลก

ไทยเข้าร่วม RCEP

15 พฤศจิกายน 2563 ผู้นำ 15 ประเทศรวมถึงประเทศไทย ได้ร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) หรือ “อาร์เซ็ป” ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากที่ใช้เวลาเกือบ 10 ปีในการเจรจา ครอบคลุมตลาดที่มีประชากรรวมกัน 2.2 พันล้านคน หรือเกือบ 30% ของประชากรโลก มี GDP รวมกันกว่า 26.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 817.7 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 30% ของ GDP โลก และมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 10.4 ล้านล้านดอลลาร์หรัฐ ประมาณ 326 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 28% ของมูลค่าการค้าโลก

RCEP คืออะไร

RCEP อาร์เซ็ป คือความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เป็นสนธิสัญญาการค้าขนาดใหญ่ที่อาเซียนเสนอเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศสมาชิกและการค้ากับพันธมิตรในข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ประกอบด้วยสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม พร้อมด้วยคู่ค้าอาเซียนอีก 5 ประเทศ อันได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้
ในขณะเดียวกัน สมาชิกRCEP ยังคงเปิดโอกาสให้อินเดียกลับมาเข้าร่วมความตกลงในฐานะที่เป็นสมาชิกดั้งเดิม และมีบทบาทสำคัญในการเจรจา RCEP ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2555 ซึ่งอินเดียมีความสำคัญกับเขตการค้านี้เพราะมีประชากร 1300 ล้านคน GDP เป็นอันดับที่ 5 ของโลกที่ $2.94 ล้านล้านเหรียญ อินเดียได้ถอนตัวออกไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากกังวลปัญหาสินค้าราคาถูกจากจีน จะไหลทะลักเข้าประเทศ รวมทั้งการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์กับจีนในภูมิภาค แต่ถึงจะไม่มีอินเดีย ความร่วมมือนี้ก็ยังมีความสำคัญมากอยู่ดี
ส่วนความร่วมมือทางเศรษฐกิจประกอบด้วย 20 บท เป็นความตกลงที่ทันสมัย ครอบคลุม คุณภาพสูง และได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน อีกทั้งมีการเพิ่มความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น จากเอฟทีเอของอาเซียนกับคู่เจรจาที่มีอยู่ก่อนหน้า เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขันทางการค้าตลอดจนมีเรื่องใหม่ๆ เช่น วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ซึ่งจะสร้างโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ให้กับธุรกิจในภูมิภาคได้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ

RCEP สัญญาการค้าเสรี

RCEP สำคัญอย่างไร

หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่าการลงนามข้อตกลงดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของความร่วมมือระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเท่านั้น แต่ยังเป็นชัยชนะของความร่วมมือพหุภาคีและการค้าเสรีด้วย
ข้อสรุปของการเจรจาความตกลง RCEP จะ “ส่งสัญญาณที่แข็งแกร่งที่สะท้อนความเป็นผู้นำของอาเซียนในการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี ช่วยก่อร่างโครงสร้างการค้าใหม่ในภูมิภาค เอื้อประโยชน์ทางการค้าอย่างยั่งยืน พัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่หยุดชะงัก และสนับสนุนการฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาด” เหงียนซวนฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนามกล่าว
โมฮาเหม็ด อัซมิน อาลี รัฐมนตรีกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมของมาเลเซีย กล่าวว่าการลงนามข้อตกลง RCEP จะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้โลกเห็นถึงความพยายามในการเสริมสร้างระบบการค้าพหุภาคี และยึดมั่นในวาระการพัฒนาขององค์การการค้าโลก (WTO)
ไซมอน เบอร์มิงแฮม รัฐมนตรีกระทรวงการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนของออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า RCEP เป็น “ข้อตกลงที่มีนัยสำคัญยิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นมาในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการค้าทั่วโลก”

RCEP เทียบกับ CPTPP

RCEP : ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ ไทย เกาหลีใต้ จีน

CPTPP : ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม แคนนาดา ชีลี เปรู เม็กซิโก (สหรัฐอเมริกาถอนตัว)

CPTTP ข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่เรียกขานกันว่า TPP-11 หรือ CPTPP ที่มีสมาชิก 11 ประเทศร่วมก่อตั้ง มีผลประกาศใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2562 มา
ริเริ่มโดยอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามาให้เกิด TPP หรือ Trans-Pacific  Partnership แต่ประธานธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ถอนตัวออกจาก TPP ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น CPTPP ที่เป็นประเด็นสำคัญสำหรับข้อตกลงนี้คือไม่มีจีนอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะแรกเริ่มเดิมทีที่อเมริกาเสนอตั้งเขตการค้าเสรีนี้ก็เพื่อสกัดอิทธิพลของจีน อย่างไรก็ตามหลังจากสหรัฐอเมริกาปฏิเสธการเข้าร่วม ทำให้ความน่าสนใจของ CPTPP น้อยลงอย่างมาก เพราะไม่มีประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริา จีน หรืออินเดียในกลุ่มนี้แม้แต่ประเทศที่ประชากรมากๆในอาเซียนอย่างอินโดนีเซียยังไม่เข้าร่วมด้วย

ส่วน RCEP หรือ Regional  Comprehensive Economic Partnership นั้น จีนเป็นคนผลักดันเขตการค้าเสรีในภูมิภาคนี้ที่เรียกว่าซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 16 ประเทศ รวมถึงอาเซียนทั้ง 10 ชาติ บวกจีน, ญี่ปุ่น, อินเดีย, เกาหลีใต้, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ว่ากันว่าการที่จีนหนุนเนื่อง RCEP นั้นก็เพื่อจะสกัดอิทธิพลของอเมริกาในเอเชียเช่นกัน เปรียบเทียบสองกลุ่มนี้แล้วก็จะเห็นว่า RCEP น่าจะใหญ่กว่าทั้งในแง่ของเศรษฐกิจรวมของสมาชิก และพลังอำนาจการต่อรองที่มีทั้งจีน และญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งภายหลังอินเดียถอนตัวออกไป

การมีจีนเข้ามาเป็นคู่ค้าจึงทำให้ขนาดของเศรษฐกิจ และการแลกเปลี่ยนของสินค้า บริการที่จะเกิดขึ้นภายในภูมิภาค หลังจากเปิดเสรีทางการค้าผ่านข้อตกลงเหล่านั้นแล้วมันย่อมน่าสนใจ และทำให้หลายๆประเทศยิ่งอยากเข้าร่วมมากขึ้น เมื่อจีนเป็นหัวเรือใหญ่ จะไม่มีเรื่องข้อบังคับ หรือกฎเกณฑ์อะไรที่ Comprehensive ไม่ว่าจะเรื่องสิทธิแรงงาน ทรัพย์สินทางปัญญา ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม หรืออะไรก็ตามแบบ CPTPP ตรงนี้มันเลยยิ่งทำให้ข้อตกลง RCEP นี้ดูน่าเข้าร่วมมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อนำมาเทียบกันในภาพรวมนี้

ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการลงนามความตกลง RCEP

ประเทศไทยจะสามารถเปิดตลาดการค้าการลงทุนในอีก 14 ประเทศ สินค้าที่ไทยจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งคือ

  1. หมวดสินค้าเกษตร เช่น แป้งมันสำปะหลัง สับปะรด สินค้าประมง เป็นต้น
  2. หมวดอาหาร ผักผลไม้แปรรูป น้ำส้ม น้ำมะพร้าว รวมทั้งอาหารแปรรูปอื่นๆ
  3. หมวดสินค้าอุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติก กระดาษ เคมีภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องแต่งกาย รวมทั้งจักรยานยนต์
  4. หมวดบริการ หมวดการก่อสร้าง ธุรกิจด้านสุขภาพ ธุรกิจด้านภาพยนตร์ บันเทิง อนิเมชั่น
  5. การค้าปลีก

สิ่งที่ภาคเอกชนไทยและภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการในการที่จะเตรียมตัวและปรับตัว เพื่อให้เข้ากับข้อตกลงการค้าการลงทุนใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก RCEP คือ จะต้องเร่งศึกษากฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพราะหลังจากลงนามวันนี้ แต่ละประเทศจะต้องนำไปให้สัตยาบันโดยผ่านกระบวนการของแต่ละประเทศ เช่น ประเทศไทยต้องผ่านที่ประชุมสภาฯ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในกลางปีหน้า โดยในการมีผลบังคับใช้จะต้องมีประเทศอาเซียน 6 ประเทศ และกลุ่มประเทศอื่น 3 ประเทศ แจ้งให้สัตยาบัน ความตกลงก็สามารถบังคับใช้ได้เลย

แม้ว่าให้สัตยาบันแล้ว หลังให้สัตยาบันไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันจะพร้อมทีเดียว 100% มีข้อยกเว้นยิบย่อยให้ประเทศภาคีที่ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาอย่างพวกลาว กัมพูชา ในการปรับตัวรวมถึงระบบการปฏิรูประบบศุลกากร กว่าเราจะได้ดอกผลจาก RCEP นี้จริงๆก็คงต้องรออีกไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี (หรืออาจจะ 20 ปีเลยก็ได้)

ข้อตกลง RCEP ฉบับเต็มอ่านได้ที่ rcepsec.org


Posted

in

by