ในยุคนี้ใครๆ ก็ต้องเคยซื้อของออนไลน์บ้างซักครั้ง เห็นเค้าของออนไลน์กันเยอะแยะ ทั้งทาง facebook lazada shopee บางคนก็รวยเอารวยเอา บางคนก็ขาดทุน ไม่มีคนเข้าไปดูในร้าน แล้วถ้าเราอยากขายของออนไลน์บ้าง ต้องเตรียมตัวอย่างไร
วันนี้เลยอยากขอนำเสนอ 9 อย่างที่ควรมี ก่อนเริ่มเปิดร้านออนไลน์มาบอกคุณผู้อ่าน เพื่อให้ได้เตรียมตัวก่อนเริ่มเปิดร้านออนไลน์กัน
ขั้นที่ 1 ในการขายของออนไลน์ เตรียมใจและเวลา
การขายของออนไลน์ถ้าต้องการประสบความสำเร็จ ไม่ง่ายและไม่ยากเกินไป ไม่ใช่ว่าเห็นคนอื่นรวย เราจะใช้เวลาว่างขายแล้วรวยเหมือนเค้าคงยาก
สิ่งแรกที่คือต้องปรับทัศนคติก่อน ว่าไม่มีทางทีอยากรวยเร็วๆ ทำงานน้อยๆ แต่ได้เงินมากๆ ซึ่งถ้างานแบบนี้ หรือ ขายสินค้าแบบนี้มันมีจริง ทุกคนก็คงรวยกันไปหมดแล้ว
เราต้องหาความรู้ศึกษาอย่างจริงจังทางด้านตลาดและสินค้า ทดลองทำ แก้ไข ปรับปรุง คิดทำสิ่งใหม่มากกว่าคนอื่น จะได้ลดความเสี่ยงในการขายของออนไลน์
สิ่งสำคัญอย่างที่ 2 คือเตรียมเวลา ส่วนใหญ่คนที่จะทำการขายของออนไลน์ แม้จะทำงานประจำ หรือ เป็นน้องๆ นักศึกษา สิ่งที่สำคัญคือให้ความสนใจกับการขายของออนไลน์ พอควร ต้องสนใจในลูกค้า ไม่ใช่ว่าตอบลูกค้าช้า ส่งของไม่ตรงเวลา ลูกค้าทักแชทแล้วไม่ตอบ ก็คงจะยากที่เราจะประสบความสำเร็จในการขายของออนไลน์ได้
ขั้นที่ 2 เรื่องเงินทุน
การขายของออนไลน์นั้น นอกจากค่าสินค้าเป็นต้นทุนหลักแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นเช่น ค่าจดโดเมน ค่าแพ็กสินค้า ค่าขนส่ง เงินทุนหมุนเวียน และอื่นๆ ไม่ใช่ใช้เงินร้อน หรือ หมุนเป็นเดือนๆ ถ้าอยากให้การขายปัง ก็ต้องลงโฆษณา ทั้งทาง Facebook หรือ Google ซึ่งเป็นเงินค่อนข้างสูง
สำหรับค่าใช้จ่ายทางออนไลน์มีประมาณนี้
- ค่าจดโดเมน 350-500 บาท/ต่อปี
- ค่าเช่า Host ราคาประมาณ 500 ขึ้น ต่อปี ขึ้นอยู่กับการใช้งานและคุณภาพ
- ค่าจัดทำเว็บไซต์ มีหลายราคา หลักพันไปถึงหลักแสนแล้วแต่คุณภาพ
- ค่าทำการตลาดออนไลน์ ลงโฆษณาทาง Facebook Google
ขั้นที่ 3 ชื่อร้าน
ชื่อร้านค้าที่เราจะตั้งสำคัญมาก เพราะจะเป็นชื่อแบรนด์ติดตัวเรา ถ้าตั้งชื่อให้ดีจำง่าย จะได้ไม่ต้องไปแก้หรือจดโดเมนใหม่ทีหลัง หลังๆ ที่แนะนำในการตั้งชื่อคือ
ให้อ่านออกเสียงง่าย จำง่าย มีความคุ้นหูคนส่วนใหญ่
ถ้าสะกดเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ ก็จะดีมาก เช่น ขายมือถือก็น่าจะมีความว่า mobile, ขายกล้องก็ camera ต่อท้ายเป็นต้น ถ้าชื่อร้านอ่านออกเสียงยากจนเกินไป ก็จะทำให้ลูกค้าไม่จดจำ หรือบางทีพิมพ์ผิดหาร้านใน google ไม่เจอก็เสียโอกาสไป
ขั้นที่ 4 ขายของออนไลน์อะไรดี
ถ้าว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการขายออนไลน์ ถ้าเรามีสินค้าที่จะขายอยู่แล้วก็สบายไป แต่ถ้ายังไม่มีสินค้าที่จะขาย จะขายของออนไลน์อะไรดี
อย่างแรกเลือกสินค้าที่ชอบ สินค้าที่เราถนัด หรืองานอดิเรกก็ได้ เพราะเป็นสินค้าที่เราเชียวชาญ รู้ตลาดดีว่า โดยเฉพาะเราใช้อยู่รู้ว่าอะไรขายได้ ดีไม่ดี ประหยัดเวลาในการค้นคว้า
หรือสินค้าที่ขายดี ดูจากยังขายในร้านค้าออนไลน์เจ้าอื่นหรือกระแสสินค้ายอดนิยม เราต้องทำการศึกษาตลาดให้ดี ถ้ากระแสความนิยมตก เราพึ่งเริ่มขาย อาจขาดทุน หรือ ค้างสต๊อกสินค้าก็ได้ ควรระวัง หรือ ลองไปหาสินค้าจากประเทศ ดูได้จาก เว็บ e-cmmerce ชื่อดังของประเทศจีน เช่น TAOBAO, TMALL , 1688 ดูว่าอะไรขายดี พอจะนำมาขายในประเทศไทยได้หรือไม่ หรือไปลองเดินดูตามแหล่งขายส่งสินค้า ก็สามารถดูเป็นแนวทางในการศึกษาตลาด หรือ ทดลองซื้อมาขายในร้านออนไลน์เราเลยก็ได้
แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกขายอะไร อย่าลืมคิดถึงราคาต้นทุนและกำไรที่จะได้รับ เพราะการขายของออนไลน์มีการตัดราคากันอยู่บ่อยครั้ง ทางที่ดีที่สุด คุณควรเริ่มหาแหล่งสินค้าที่มีราคาต้นทุนต่ำ ไว้ก่อน
ขั้นที่ 5 ช่องทางการขาย ร้านค้าออนไลน์
เมื่อเรามีสินค้าที่เราจะขายแล้ว ต่อมาเราก็หาช่องทางการขาย ซึ่งในปัจจุบันมากร้านค้าออนไลน์เปิดให้บริการฟรีมากมายดังนี้
ช่องทางที่ยอดนิยมในตอนนี้สำหรับเปิดร้านขายของออนไลน์
ช่องทางอื่นรองๆ ลงมาสำหรับเปิดร้านขายของออนไลน์ในไทย
อีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญมากๆ โดยไม่ต้องไปพึ่งคนอื่น คือ
การสร้างเว็บไซด์ของตนเอง
เนื่องเว็บไซด์บางเว็บเปลี่ยนอัลกอริทึ่ม หรือเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มจนเราไม่คุ้ม ต้องย้ายไปที่อื่น ยกตัวอย่างเช่น เฟสบุ๊คนั้น อัลกอริทึ่มเปลี่ยนตลอดเวลา บวกกับ การแสดงผลของเฟสบุ๊คในหน้าเพจ เรายังไม่สามารถควบคุม หรืออย่าง Line ไลน์เก็บค่าบริการเพิ่มใน Line Group จนไม่รายเล็กๆ ไม่สามารถจ่ายได้จนเลิกใช้
ถ้าเรามีเว็บไซด์ของตนเอง ไม่ว่าเว็บอื่นจะเปลี่ยนอย่าง เรามีเว็บไซด์ของตัวเอง จะโปรโมต ทำ SEO ก็อยู่กับเราตลอด
ขั้นที่ 6 ช่องทางชำระเงิน
เพิ่มควรสะดวกของลูกค้าควรมีช่องทางชำระเงินที่หลากหลายให้ลูกค้าได้เลือก
- โอนผ่านทางธนาคาร ผ่านทางพร้อมเพย์
- ผ่านทางบัตรเครดิต
- รับชำระปลายทางเมื่อของมาส่ง
- หรือทาง Paypal ซึ่งเหมาะกับลูกค้าต่างประเทศ
ขั้นที่ 7 Content is the KING
การจะขายสินค้าออนไลน์ได้ไม่ได้ นอกจากอยู่ที่ตัวสินค้าแล้ว การนำเสนอตัวสินค้าก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน Content ไม่เพียงที่ให้ความรู้ให้คุณค่าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการอธิบายสินค้าใช้ทำอะไร อย่างไร ที่ไหน รูปสินค้าสวยหรือเปล่า ชัดเจนไหน ถ้ารูปไม่สวย ลูกค้าค้นหาเจอก็ไม่คลิกเข้ามาที่ร้านต่อให้สินค้าดีมากก็ตาม
อย่างไรก็ตามของอย่างนี้ฝึกการได้ค่อยๆ ทำอย่างตั้งใจ ค่อยๆ พัฒนา ดูเว็บอื่นเค้าทำยังไง เราลองทำตาม ทำไปเรื่อยเมื่อเราพัฒนาอธิบายสินค้าตามใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการ รูปถ่ายสวยสะดุดตา เดี่ยวยอดขายก็ค่อยๆ เพิ่มเอง
ขั้นที่ 8 สร้าง Traffic
ถ้าเปิดร้านเฉยๆ สมัยนี้ไม่มีทางที่อยู่ดีลูกค้าจะเจอร้านเรา เหมือนเปิดร้านในซอยรอให้คนหลงเข้า ก็เหมือนกับการเปิดร้านค้าจริงๆ เราต้องการโปรโมตร้านของเราว่าอยู่ที่ไหน ขายอะไร ตอนนี้มีลดราคาพิเศษอะไร
การสร้าง Traffic ออนไลน์เข้าร้านค้าเรามีหลายวิธี แต่หลักๆคือ
- เสียตังค์
- ไม่เสียตังค์ แต่ใช้แรงกับเวลาเยอะหน่อย
เสียตังค์ เช่นค่าโฆษณาหลักที่ใช้และนิยมในปัจจุบัน
- โฆษณาทาง Google Adword
- โฆษณาทาง Facebook
- ส่งไลน์ให้กลุ่มลูกค้า [email protected] คือ เราสามารถบรอดแคสท์ข้อความของเราไปถึงผู้ติดตามได้ทุกคน
ไม่เสียตังค์ หรือเสียน้อยมาก แต่ต้องใช้แรงในการสร้างเยอะ
- ทำ SEO ให้ติดอันดับ Google
ข้อดีคือฟรีถ้าติดอันดับใน Google อันดับต้นๆ ซึ่งนั่นก็หมายถึง Traffic มหาศาลที่ไม่ต้องเสียเงิน และนั่นก็อาจหมายถึงยอดขายของเราด้วย แต่ข้อเสียของการทำ SEO คือ มันไม่ง่ายค่ะ และกินเวลานานมาก แต่ถ้าเว็บไซต์เราติดอันดับแล้ว เราก็กินกับมันไปได้ยาวๆเลย - ทำ Review สินค้าในบล็อคหรือ Review สินค้าใน Youtube
รีวิวการใช้งานจากผู้ใช้จริงเป็นสิ่งที่ทรงอิทธิพลมากในยุคนี้ ทำให้ลูกค้าเห็นสินค้าจริง ใช้งานยังไง แล้วส่งลิงค์มายังร้านค้าออน์ไลน์ของเรา ที่ไม่ต้องเสียเงินแต่ต้องริวิวสินค้าให้ลูกค้าเชื่อถือจนมาซื้อสินค้าเราได้
ขั้นที่ 9 มืออาชีพ ปรับปรุงพัฒนาสู่ความสำเร็จ
การขายสินค้าออนไลน์นั้น ด้วยความที่ลูกค้าก็ยังไม่เห็นสินค้า ไม่เคยรู้จักเรา แต่ต้องโอนเงินให้เราก่อน ความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ นั้นจึงมีความสำคัญมาก
ความเป็นมืออาชีพที่ว่านั่นก็คือ การตอบข้อความลูกค้าอย่างรวดเร็ว คอนเฟิร์มออเดอร์ คอนเฟิร์มสินค้า และส่งสินค้าให้ตรงเวลา อย่าผิดคำพูด จะทำให้ร้านเราดูไม่น่าเชื่อถือ
ซึ่งถ้ามีความเป็นมืออาชีพ รีวิวจากลูกค้าก็จะดีไปด้วย พอธุรกิจเรามีรีวิวเยอะขึ้น มันก็เหมือนกำแพงป้องกันคู่แข่งไปในตัว ตามนิสัยผู้บริโภคออนไลน์ ก็ย่อมอยากที่จะซื้อสินค้ากับร้านที่น่าเชื่อถือกว่า ตั้งมานานกว่า มีรีวิว หรือ มีคนซื้อมากกว่าอยู่แล้ว
สุดท้าย เพื่อการยั่งยืนสามารถเป็นธุรกิจหรืออาชีพหลักของเราได้ การปรับปรุงพัฒนาร้านค้าออนไลน์เราให้สินค้าทันสมัย ตามความต้องการตลาด ปรับปรุงร้านค้าให้น่าดู ถ่ายรูปสวยสะดุดตา มีความเป็นมืออาชีพ เพียงแค่นี้การที่เราจะประสบความสำเร็จในการขายของออนไลน์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยาก