10 พฤติกรรมที่คนไทยขี้เกียจที่สุด 1

Lazy Consumer โอกาสทางธุรกิจใหม่

วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU ชี้ “ตลาดคนขี้เกียจหรือ Lazy consumer” กำลังเป็นที่จับตามองและเป็นโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ เนื่องจากคนทั่วไปมีพฤติกรรมรักความสบายและหันมาพึ่งเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น โดยผลวิจัยพบว่า

10 พฤติกรรมที่คนไทยขี้เกียจที่สุด

10 พฤติกรรมที่คนไทยขี้เกียจที่สุดคือ

  1. ออกกำลังกาย 84%
  2. รอคิวซื้อของ 81%
  3. ทำความสะอาดบ้าน 77%
  4. อ่านหนังสือ 70%
  5. ทำอาหาร 69%
  6. พูดคุยหรือเจอคนเยอะๆ 68%
  7. ดูแลผิวพรรณตัวเอง 68%
  8. เรียน/ทำงาน 65%
  9. ออกไปชอปปิ้ง 64%
  10. เดินทางไปไหนมาไหน 60%
sloth คนไทยสู่ยุค Lazy Consumer

นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังแนะภาคธุรกิจนำกลยุทธ์ SLOTH อันประกอบด้วย

  • Speed ต้องมีความรวดเร็ว เพื่อให้ผู้บริโภคไม่รู้สึกเสียเวลา
  • Lean ต้องกระชับ ตัด ท่อน เพื่อง่ายต่อการใช้งาน
  • EnjOy ต้องทำให้ผู้บริโภครู้สึกสนุก เกิดแรงจูงใจในการใช้สินค้าและบริการ
  • ConvenienT ความสะดวกสบาย ที่ทำให้ชีวิตนั้นง่ายมากขึ้น
  • Happy ความสุข เมื่อความต้องการได้ถูกเติมเต็ม และปัญหาถูกแก้ไขด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด

SLOTH STRATEGY เร็ว กระชับ สนุก สะดวก แฮปปี้ ความสุขของลูกค้า ก็คือ ความสุขของเรา

ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวว่า ปัจจุบันผู้คนจำนวนมากหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในเรื่องของการประหยัดแรงงานและเวลา จนมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่สังคมของความเคยชิน หรือที่เรียกว่า “ความขี้เกียจ” และเศรษฐกิจขี้เกียจ (Lazy Economy) ซึ่งเกิดจากความต้องการความสะดวกสบายในชีวิต

โดยที่ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินหากสินค้าหรือบริการนั้นๆ ช่วยทำให้รู้สึกว่าได้รับความสะดวกสบายมากกว่าเดิม และจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความต้องการความสะดวกสบายขั้นสุด ยังทำให้เกิดธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เช่น ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจจองคิว บริการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ สินค้าประเภทอาหารพร้อมรับประทาน เป็นต้น

สำหรับการตลาดขี้เกียจหรือเศรษฐกิจขี้เกียจนั้นเกิดขึ้นในช่วงปี 2561 หลังจากที่เถาเป่า ผู้ดำเนินธุรกิจ อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในประเทศจีนได้เก็บข้อมูลของลูกค้าและพบว่าคนจีนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังปี 1995 มีการใช้จ่ายไปกับอุปกรณ์สำหรับคนขี้เกียจมากถึง 70% โดยเป็นการจับจ่ายสินค้าที่อยู่ในหมวดอาหารพร้อมรับประทาน เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและอุปกรณ์ดิจิทัล และเครื่องสำอาง

จากการศึกษายังพบอีกว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นของคนขี้เกียจ ส่งผลให้สินค้าและบริการต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและเป็นวาระสำคัญของหลายๆ บริษัท อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ประเทศจีนเท่านั้นที่มีการใช้จ่ายในเรื่องความขี้เกียจ เพราะขณะนี้เริ่มมีกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยที่เน้นทำการตลาดไปที่กลุ่มเป้าหมายนี้ โดยเฉพาะธุรกิจประเภทรับสั่งอาหาร (Food Delivery) ที่กำลังมาแรง เนื่องจากผู้บริโภคยังคงต้องการอาหารที่มีคุณภาพและรสชาติดีแต่ไม่ต้องการเสียเวลาไปรอคิวหรือเดินทางไปซื้อเอง

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจหรือบริการรูปแบบอื่นๆ ที่สามารถตอบสนองความขี้เกียจได้ เช่น เครื่องพับผ้า เครื่องช่วยแปรงฟัน เว็บไซต์ที่ช่วยเลือกเสื้อผ้า บริการจัดส่งวัตถุดิบปรุงอาหารพร้อมวิธีการทำ ฯลฯ

​ดร.บุญยิ่งกล่าวเพิ่มเติมว่า การวิเคราะห์พฤติกรรมความขี้เกียจเพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจหรือบริการในประเทศไทยนั้น ทางวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ทำการวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,200 คน ใน 4 กลุ่มอายุ โดยแบ่งเป็น Gen Z, Gen Y, Gen X และ Baby Boomers

จากพฤติกรรมดังกล่าวจะมีธุรกิจที่เตรียมรับอานิสงส์

  1. ธุรกิจที่ทำแทนได้ เช่น บริการทำความสะอาดบ้าน บริการสั่งอาหาร บริการซื้อของแทน 
  2. ธุรกิจที่ไม่ต้องขยับ ไม่ต้องจับ ไม่ต้องถือ เช่น สินค้าประเภท Automation และ Hand Free
  3. ธุรกิจที่พร้อมใช้งานทันที เช่น สินค้าประเภทพร้อมกิน พร้อมดื่ม สินค้าความงามที่ใช้ได้ทันที ไม่ต้องทำอะไรยุ่งยาก เช่น ไม่ต้องรองพื้นก่อนแต่งหน้า
  4. ธุรกิจร่วมมือ ร่วมใจ เช่น community ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ในรูปแบบออนไลน์
  5. ธุรกิจที่เน้นการฟัง เช่น Podcast content หรือ VDO content

ที่มา
https://mgronline.com/business/detail/9620000086802