รัฐบาลจีนวางแผนจะปล่อยระบบ Social Credit ในปี 2020 เพื่อใช้ตัดสินความน่าเชื่อถือต่างๆ ของประชาชนจำนวน 1.3 พันล้านคน ซึ่งเป็นเครื่องมือควบคุมพลเมืองของรัฐบาลจีน โดยระบบนี้จะคอยติดตามแต่ละคนไปทุกที่ ไม่ว่าจะไปซื้อของที่ไหน ทำอะไร พบปะหรือมีกิจกรรมร่วมกับใคร ซึ่งผู้ที่คอยติดตามและให้คะแนนความประพฤติ (เรียกว่า Sesame Credit) ก็คือรัฐบาลจีน โดยทางรัฐบาลจีนอ้างว่า เพื่อเป็นมาตรฐานให้กับความ “ซื่อสัตย์ และจริงใจ”
เครดิตสังคมมีองค์ประกอบหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ความน่าเชื่อถือทางการเงิน การทำตามกฎหมาย และการปฏิบัติตนตามกรอบปรัชญาของรัฐบาลจีน ปัจจุบัน มีชุมชนและเมืองใหญ่กว่า 40 แห่งทั่วประเทศจีนที่ใช้ระบบเครดิตสังคม รวมถึงการจัดทำ ‘บัญชีแดง’ ซึ่งรวบรวมรายชื่อประชาชนตัวอย่าง และ ‘บัญชีดำ’ ซึ่งเป็นรายชื่อของบุคคลที่ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์
Social Credit ระบบเครดิตสังคมคืออะไร
The Social Credit System เป็นระบบการให้คะแนนด้านมารยาท และสังคมกับประชาชนในประเทศ โดยรัฐบาลจะมีระบบติดตามสอดส่องพฤติกรรมประชาชนไปทุก หนแห่ง และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในระบบดิจิทัล ได้แก่ พฤติกรรมทางด้านการเงิน เช่น การเสีย ภาษี การจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน พฤติกรรมทางด้านสังคม เช่น การช่วยเหลือสังคม หรือการกุศล ความมีระเบียบวินัย การปฏิบัติตามกฎจราจร และพฤติกรรมในอินเตอร์เน็ต เช่น การ ซื้อของออนไลน์ การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค และเป็นผู้ให้คะแนนตามกิจกรรมที่ประชาชนทำในแต่ละวัน โดยประชาชนทุกคนจะมี “บัตรความน่าเชื่อถือ” (trustworthy card) ซึ่งบันทึกคะแนนสะสม social credit score ก าหนดไว้ตั้งแต่ 100-950 คะแนน
รัฐบาลจะเก็บข้อมูลพฤติกรรมของประชาชน และแบ่งออกเป็นอย่างน้อย 3 ด้าน ได้แก่
- ด้านการใช้จ่าย เช่น การจ่ายภาษี ชำระหนี้ จ่ายค่าบัตรเครดิต หรือการจ่ายค่าปรับ ฯลฯ
- ด้านสังคม เช่น การปฏิบัติตามกฎจราจร ประวัติอาชญากรรม จ่ายค่าขนส่งสาธารณะ ความกตัญญู หรือการเป็นอาสาสมัครในสังคม ฯลฯ
- ด้านออนไลน์ เช่น การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในโลกออนไลน์ การโพสต์ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และพฤติกรรมช้อปปิ้งออนไลน์
ระบบเครดิตทางสังคมไม่เพียงเก็บข้อมูลส่วนตัวของบุคคลโดยภาครัฐแล้ว ภาคเอกชนก็ได้รับอนุญาตให้พัฒนาระบบเครดิตสังคมนำร่องเช่นเดียวกัน โดยบริษัทเหล่านั้นคือเจ้าตลาดยักษ์ใหญ่ 8 แห่งที่คนไทยอาจคุ้นเคยกันดี เช่น ระบบ Sesame Credit ที่พัฒนาโดย Ant Financial Services Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alibaba และ Tencent Credit ของเครือ Tencent เจ้าของ WeChat ที่มีผู้ใช้กว่า 850 ล้านคน รวมถึงธุรกิจอื่นๆ อีก 7 แห่งที่ให้ข้อมูลและรวบรวม วิเคราะห์และแสดงผลของผู้บริโภค โดย Joe Tsai ผู้บริหารของ Alibaba ก็เคยกล่าวไว้ถึงการสร้างโปรไฟล์ออนไลน์ของคนหนุ่มสาวว่า “เราต้องการให้ผู้คนตระหนักถึงเรื่องนี้ เพื่อให้พวกเขามีความประพฤติที่ดีขึ้น”
The Social Credit System ได้ประกาศใช้ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2557 เพื่อจุดมุ่งหมายเพื่อ “จัดการปัญหาในอุตสาหกรรมการเงินและการพาณิชย์” หลังจากนั้นได้มีการเพิ่มเป็นธรรมาภิบาล 4 ส่วน ได้แก่
1) ความซื่อสัตย์ในการบริหารงานของรัฐบาล (honesty in government affairs)
2) ความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ (commercial integrity)
3) ความซื่อสัตย์ของสังคม (societal integrity)
4) ความน่าเชื่อถือของตุลาการ (judicial credibility)
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2557 ที่จะนำระบบดังกล่าวมาใช้ทั้งประเทศจีนภายใน พ.ศ. 2563
เทคโนโลยีที่ใช้กับระบบ Social Credit
การใช้ระบบเครดิตทางสังคมต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นอย่างมากและด้วยประชาชน 1300 ล้านคน ข้อมูลที่มหาศาลระบบนี้อาศัยเทคโนโลยี เช่น
- เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (face recognition)ไว้ใช้สำหรับตรวจจับใบหน้า ซึ่งในปัจจุบันค่อนข้างแม่นยำอย่างมาก ซึ่งตามสื่อของรัฐบาลจีนกล่าวว่าแม่นยำถึง 99.8%
- ปัญญาประดิษฐ์ (AI-Artificial Intelligence)
- ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ด้านปริมาณข้อมูลมหาศาล การประมวลผลต้องใช้เทคโนโลยีทาง Big data และปัญญาประดิษฐ์ร่วมกันถึงจะประมวลเป็นคะแนนทางสังคมได้
ทำไมจึงต้องนำ Social Credit มาใช้
ด้วยจำนวนประชากรที่มากเป็นอันดับ 1 ของโลก จีนต้องเผชิญกับปัญหาในการ ควบคุมระเบียบวินัย เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของประชาชนและประสบกับปัญหาด้านภาพลักษณ์ในเรื่องสินค้าและบริการที่ด้อยคุณภาพ มาโดยตลอด
การนำเอา Social Credit System มาแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศของรัฐบาลจีนนั้น จะทำการประเมินเครดิตทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งประชาชนทั่วไป (Individuals) และฝั่งองค์กรธุรกิจ (Enterprises)
ฝั่งประชาชนทั่วไปโดยระบบเครดิตทางสังคมของประเทศจีนนั้นจะครอบคลุมทุกเรื่องในการดำเนินชีวิต พฤติกรรมของประชาชน เพื่อเพิ่มความมีระเบียบวินัย อาทิ การส่งเสียงดัง การแซงคิว การรักษาความสะอาด และมารยาททางสังคม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ และผลักดันประเทศ ไปสู่ระดับสากล
ปัจจัยที่ใช้วัด Credit Scoring System สำหรับ ประชาชนทั่วไป
ด้านสังคม (Social Input)
- การปฏิบัติตามกฎจราจร
- การปฏิบัติตามข้อกำหนด
- ด้านการวางแผนครอบครัว
- การชำระค่าโดยสารสาธารณะ
- ความซื่อสัตย์ทางวิชาการ
- เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา
- ความกตัญญู
- ประวัติอาชญากรรม
ด้านการใช้จ่าย (Traditional Input)
- การจ่ายชำระภาษี
- การชำระหนี้
- การชำระบัตรเครดิต
- การชำระค่าสาธารณูปโภค
- การชำระค่าปรับศาล
ด้านออนไลน์ (Online Input)
- การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ในโลกออนไลน์
- การโพสต์ข้อมูลบน Social media
- พฤติกรรมช้อปปิ้งออนไลน์
Credit Scoring System สำหรับ องค์กรธุรกิจ
ด้านการปฏิบัติ
- การละเมิดกฎหมาย
- การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
- การปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ
- การปฏิบัติตามพันธะสัญญาเพื่อสังคม
ข้อมูลภายในบริษัท
- การจ่ายชำระภาษี
- รายงานประจำปี
- การลงทุนด้านการวิจัย
- ความประพฤติของพนักงานและผู้บริหาร
ด้านอื่นๆ
- โครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจากภาครัฐโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่สำคัญ
- คุณภาพสินค้าและบริการ
- การกระทำผิดต่อสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้รัฐบาลจีนนำ Social Credit System มาใช้
- การแย่งที่นั่งบนรถไฟความเร็วสูง จนทำให้ระบบการเดินทางเกิดความล่าช้า
- การหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร
- การไม่ยอมชำระค่าปรับศาลเมื่อแพ้คดีความ
- การข้ามถนนไม่ใช้ทางม้าลาย
- การเปิดเสียงเพลงที่ดังบนรถประจำทาง
- ประวัติอาชญากรรม
ชาวจีนจำนวนมากถูกแบนจากการซื้อตั๋วรถไฟและเครื่องบินมากกว่า 23 ล้านครั้งในปี 2018 มา เหตุผลเพราะ Social Credit หรือคะแนนความประพฤติไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดโดยข้อมูลจาก National Public Credit Information Center ของรัฐบาลประเทศจีน
ประชากร 22 ล้านคนของมหานครแห่งนี้จะถูกประเมินคุณค่าด้วยคะแนนทางสังคม แต่ละคนจะมีคะแนนตั้งต้น 100 คะแนน ใครทำผิดกฎหมายจะถูกตัดแต้มและถูกจัดเกรดซึ่งมี 6 อันดับ ยิ่งเหลือคะแนนน้อย เกรดยิ่งต่ำ ชีวิตจะยิ่งยากลำบาก โดยมาตรการลงโทษเช่นนี้เกิดขึ้นได้เพราะผู้คนหันไปใช้แอพในการติดต่อสื่อสาร ซื้อสินค้าและบริการ กันมากขึ้น เช่น WeChat และ Alipay ซึ่งบัญชีผู้ใช้จะผูกอยู่กับเบอร์โทรศัพท์ ต้องใช้บัตรประชาชนในการลงทะเบียน และต้องระบุชื่อนามสกุลจริง การใช้ชีวิตทางออนไลน์ของผู้คนจึงถูกเฝ้าติดตามอยู่ตลอดเวลา
คนที่ถูกขึ้นบัญชีดำจะไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว ไม่สามารถเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต ไม่สามารถขอกู้เงิน ไม่สามารถเข้าเรียน ไม่สามารถรับราชการ ส่วนคนที่มีเครดิตสูงจะได้รับบริการที่ลัดขั้นตอน ชีวิตจะพบแต่ความสะดวกรวดเร็ว
คะแนนความน่าเชื่อถือของประชากรแบ่งออกเป็นการให้คะแนนตามกิจกรรมต่างๆ เช่น การ shopping หรือ ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งประชากรจีนไม่ได้ต่อต้านระบบนี้เท่าไหร่นัก เพราะหากคุณมีคะแนนตั้งแต่ 600 คะแนนเป็นต้นไป เขาจะมีโอกาสในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าออนไลน์ได้สูงถึง 5,000 หยวน (ประมาณ 25,000 บาท) หรือถ้ามีคะแนนสูงถึง 650 คุณจะสามารถเช่ารถได้โดยไม่ต้องมีค่ามัดจำ ความพิเศษสูงขึ้นเรื่อยๆ หากคะแนนสูงถึง 700 คุณจะสมัครไปเที่ยวสิงคโปรได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเอกสารประกอบการยื่นคำร้อง และหากคะแนนสูงไปถึง 750 คะแนน คุณจะได้ Fast-trached ในการขอวีซ่ายุโรป
ข้อมูลจาก สำนักข่าว FP ที่สัมภาษณ์ประชาชนในเมืองหยงเฉิง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าระบบเครดิตสังคมทำให้เมือง “ดีขึ้นทันตา” เช่น เขาและเธอรู้สึกว่าพฤติกรรมบนท้องถนนของคนในเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยคนขับรถยอมหยุดให้คนเดินข้ามถนนมากขึ้น เป็นต้น
แต่ในทางกลับกับหากมีคะแนนต่ำก็จะถูกลงโทษ เช่น ให้ความเร็วในการใช้ internet ต่ำลง, ห้ามไม่ให้เข้าร้านอาหารบางร้าน และห้ามเที่ยวต่างประเทศ รวมไปถึงอาจมีผลต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีคะแนนต่ำจากการกระทำที่ไม่เหมาะสม เช่น เลี่ยงภาษี, หลอกลวงผู้อื่น, สร้างโฆษณาปลอม หรือนั่งที่ผู้อื่นบนรถไฟ เป็นต้น ก็จะถูกกีดกันออกจากสังคม ถูกห้ามไม่ให้เดินทาง หรือไม่สามารถทำงานร่วมกับรัฐบาลได้ ทางการจีนคาดว่าระบบดังกล่าวจะสามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมของประชากรจีนได้หมดทุกคนภายในปี 2563 โดยทางการคาดว่าเพียงแค่มีลายนิ้วมือหรือชีวมาตร (Biometrics) ที่ร่างกายก็สามารถค้นหาตัวตนบุคคลนั้นๆ ได้ทันที
ที่มา
https://www.wired.co.uk
https://nhglobalpartners.com
https://www.gsb.or.th