Social Credit เครื่องมือควบคุม-ของรัฐบาลจีน

3563

รัฐบาลจีนวางแผนจะปล่อยระบบ Social Credit ในปี 2020 เพื่อใช้ตัดสินความน่าเชื่อถือต่างๆ ของประชาชนจำนวน 1.3 พันล้านคน ซึ่งเป็นเครื่องมือควบคุมพลเมืองของรัฐบาลจีน โดยระบบนี้จะคอยติดตามแต่ละคนไปทุกที่ ไม่ว่าจะไปซื้อของที่ไหน ทำอะไร พบปะหรือมีกิจกรรมร่วมกับใคร ซึ่งผู้ที่คอยติดตามและให้คะแนนความประพฤติ (เรียกว่า Sesame Credit) ก็คือรัฐบาลจีน โดยทางรัฐบาลจีนอ้างว่า เพื่อเป็นมาตรฐานให้กับความ “ซื่อสัตย์ และจริงใจ”

Social Credit เครื่องมือควบคุม-ของรัฐบาลจีน

เครดิตสังคมมีองค์ประกอบหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ความน่าเชื่อถือทางการเงิน การทำตามกฎหมาย และการปฏิบัติตนตามกรอบปรัชญาของรัฐบาลจีน ปัจจุบัน มีชุมชนและเมืองใหญ่กว่า 40 แห่งทั่วประเทศจีนที่ใช้ระบบเครดิตสังคม รวมถึงการจัดทำ ‘บัญชีแดง’ ซึ่งรวบรวมรายชื่อประชาชนตัวอย่าง และ ‘บัญชีดำ’ ซึ่งเป็นรายชื่อของบุคคลที่ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์

Social Credit ระบบเครดิตสังคมคืออะไร

The Social Credit System เป็นระบบการให้คะแนนด้านมารยาท และสังคมกับประชาชนในประเทศ โดยรัฐบาลจะมีระบบติดตามสอดส่องพฤติกรรมประชาชนไปทุก หนแห่ง และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในระบบดิจิทัล ได้แก่ พฤติกรรมทางด้านการเงิน เช่น การเสีย ภาษี การจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน พฤติกรรมทางด้านสังคม เช่น การช่วยเหลือสังคม หรือการกุศล ความมีระเบียบวินัย การปฏิบัติตามกฎจราจร และพฤติกรรมในอินเตอร์เน็ต เช่น การ ซื้อของออนไลน์ การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค และเป็นผู้ให้คะแนนตามกิจกรรมที่ประชาชนทำในแต่ละวัน โดยประชาชนทุกคนจะมี “บัตรความน่าเชื่อถือ” (trustworthy card) ซึ่งบันทึกคะแนนสะสม social credit score ก าหนดไว้ตั้งแต่ 100-950 คะแนน

รัฐบาลจะเก็บข้อมูลพฤติกรรมของประชาชน และแบ่งออกเป็นอย่างน้อย 3 ด้าน ได้แก่

  • ด้านการใช้จ่าย เช่น การจ่ายภาษี ชำระหนี้ จ่ายค่าบัตรเครดิต หรือการจ่ายค่าปรับ ฯลฯ
  • ด้านสังคม เช่น การปฏิบัติตามกฎจราจร ประวัติอาชญากรรม จ่ายค่าขนส่งสาธารณะ ความกตัญญู หรือการเป็นอาสาสมัครในสังคม ฯลฯ
  • ด้านออนไลน์ เช่น การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในโลกออนไลน์ การโพสต์ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และพฤติกรรมช้อปปิ้งออนไลน์

ระบบเครดิตทางสังคมไม่เพียงเก็บข้อมูลส่วนตัวของบุคคลโดยภาครัฐแล้ว ภาคเอกชนก็ได้รับอนุญาตให้พัฒนาระบบเครดิตสังคมนำร่องเช่นเดียวกัน โดยบริษัทเหล่านั้นคือเจ้าตลาดยักษ์ใหญ่ 8 แห่งที่คนไทยอาจคุ้นเคยกันดี เช่น ระบบ Sesame Credit ที่พัฒนาโดย Ant Financial Services Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alibaba และ Tencent Credit ของเครือ Tencent เจ้าของ WeChat ที่มีผู้ใช้กว่า 850 ล้านคน รวมถึงธุรกิจอื่นๆ อีก 7 แห่งที่ให้ข้อมูลและรวบรวม วิเคราะห์และแสดงผลของผู้บริโภค โดย Joe Tsai ผู้บริหารของ Alibaba ก็เคยกล่าวไว้ถึงการสร้างโปรไฟล์ออนไลน์ของคนหนุ่มสาวว่า “เราต้องการให้ผู้คนตระหนักถึงเรื่องนี้ เพื่อให้พวกเขามีความประพฤติที่ดีขึ้น”

The Social Credit System ได้ประกาศใช้ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2557 เพื่อจุดมุ่งหมายเพื่อ “จัดการปัญหาในอุตสาหกรรมการเงินและการพาณิชย์” หลังจากนั้นได้มีการเพิ่มเป็นธรรมาภิบาล 4 ส่วน ได้แก่
1) ความซื่อสัตย์ในการบริหารงานของรัฐบาล (honesty in government affairs)
2) ความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ (commercial integrity)
3) ความซื่อสัตย์ของสังคม (societal integrity)
4) ความน่าเชื่อถือของตุลาการ (judicial credibility)
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2557 ที่จะนำระบบดังกล่าวมาใช้ทั้งประเทศจีนภายใน พ.ศ. 2563

เทคโนโลยีที่ใช้กับระบบ Social Credit

เทคโนโลยีที่ใช้กับระบบ Social Credit เทคโนโลยีจดจำใบหน้า

การใช้ระบบเครดิตทางสังคมต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นอย่างมากและด้วยประชาชน 1300 ล้านคน ข้อมูลที่มหาศาลระบบนี้อาศัยเทคโนโลยี เช่น

  • เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (face recognition)ไว้ใช้สำหรับตรวจจับใบหน้า ซึ่งในปัจจุบันค่อนข้างแม่นยำอย่างมาก ซึ่งตามสื่อของรัฐบาลจีนกล่าวว่าแม่นยำถึง 99.8%
  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI-Artificial Intelligence)
  • ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ด้านปริมาณข้อมูลมหาศาล การประมวลผลต้องใช้เทคโนโลยีทาง Big data และปัญญาประดิษฐ์ร่วมกันถึงจะประมวลเป็นคะแนนทางสังคมได้

ทำไมจึงต้องนำ Social Credit มาใช้

ด้วยจำนวนประชากรที่มากเป็นอันดับ 1 ของโลก จีนต้องเผชิญกับปัญหาในการ ควบคุมระเบียบวินัย เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของประชาชนและประสบกับปัญหาด้านภาพลักษณ์ในเรื่องสินค้าและบริการที่ด้อยคุณภาพ มาโดยตลอด

การนำเอา Social Credit System มาแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศของรัฐบาลจีนนั้น จะทำการประเมินเครดิตทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งประชาชนทั่วไป (Individuals) และฝั่งองค์กรธุรกิจ (Enterprises)
ฝั่งประชาชนทั่วไปโดยระบบเครดิตทางสังคมของประเทศจีนนั้นจะครอบคลุมทุกเรื่องในการดำเนินชีวิต พฤติกรรมของประชาชน เพื่อเพิ่มความมีระเบียบวินัย อาทิ การส่งเสียงดัง การแซงคิว การรักษาความสะอาด และมารยาททางสังคม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ และผลักดันประเทศ ไปสู่ระดับสากล

Credit Scoring System สำหรับ ประชาชนทั่วไป

ปัจจัยที่ใช้วัด Credit Scoring System สำหรับ ประชาชนทั่วไป

ด้านสังคม (Social Input)

  • การปฏิบัติตามกฎจราจร
  • การปฏิบัติตามข้อกำหนด
  • ด้านการวางแผนครอบครัว
  • การชำระค่าโดยสารสาธารณะ
  • ความซื่อสัตย์ทางวิชาการ
  • เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา
  • ความกตัญญู
  • ประวัติอาชญากรรม

ด้านการใช้จ่าย (Traditional Input)

  • การจ่ายชำระภาษี
  • การชำระหนี้
  • การชำระบัตรเครดิต
  • การชำระค่าสาธารณูปโภค
  • การชำระค่าปรับศาล

ด้านออนไลน์ (Online Input)

  • การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ในโลกออนไลน์
  • การโพสต์ข้อมูลบน Social media
  • พฤติกรรมช้อปปิ้งออนไลน์

Credit Scoring System สำหรับ องค์กรธุรกิจ

ด้านการปฏิบัติ

  • การละเมิดกฎหมาย
  • การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
  • การปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ
  • การปฏิบัติตามพันธะสัญญาเพื่อสังคม

ข้อมูลภายในบริษัท

  • การจ่ายชำระภาษี
  • รายงานประจำปี
  • การลงทุนด้านการวิจัย
  • ความประพฤติของพนักงานและผู้บริหาร

ด้านอื่นๆ

  • โครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจากภาครัฐโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่สำคัญ
  • คุณภาพสินค้าและบริการ
  • การกระทำผิดต่อสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้รัฐบาลจีนนำ Social Credit System มาใช้

  • การแย่งที่นั่งบนรถไฟความเร็วสูง จนทำให้ระบบการเดินทางเกิดความล่าช้า
  • การหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร
  • การไม่ยอมชำระค่าปรับศาลเมื่อแพ้คดีความ
  • การข้ามถนนไม่ใช้ทางม้าลาย
  • การเปิดเสียงเพลงที่ดังบนรถประจำทาง
  • ประวัติอาชญากรรม
ระบบบัญชีดำ ที่โชว์คนที่ห้ามใช้รถไฟหรือเครื่องบิน

ชาวจีนจำนวนมากถูกแบนจากการซื้อตั๋วรถไฟและเครื่องบินมากกว่า 23 ล้านครั้งในปี 2018 มา เหตุผลเพราะ Social Credit หรือคะแนนความประพฤติไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดโดยข้อมูลจาก National Public Credit Information Center ของรัฐบาลประเทศจีน

ประชากร 22 ล้านคนของมหานครแห่งนี้จะถูกประเมินคุณค่าด้วยคะแนนทางสังคม แต่ละคนจะมีคะแนนตั้งต้น 100 คะแนน ใครทำผิดกฎหมายจะถูกตัดแต้มและถูกจัดเกรดซึ่งมี 6 อันดับ ยิ่งเหลือคะแนนน้อย เกรดยิ่งต่ำ ชีวิตจะยิ่งยากลำบาก โดยมาตรการลงโทษเช่นนี้เกิดขึ้นได้เพราะผู้คนหันไปใช้แอพในการติดต่อสื่อสาร ซื้อสินค้าและบริการ กันมากขึ้น เช่น WeChat และ Alipay ซึ่งบัญชีผู้ใช้จะผูกอยู่กับเบอร์โทรศัพท์ ต้องใช้บัตรประชาชนในการลงทะเบียน และต้องระบุชื่อนามสกุลจริง การใช้ชีวิตทางออนไลน์ของผู้คนจึงถูกเฝ้าติดตามอยู่ตลอดเวลา

คนที่ถูกขึ้นบัญชีดำจะไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว ไม่สามารถเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต ไม่สามารถขอกู้เงิน ไม่สามารถเข้าเรียน ไม่สามารถรับราชการ ส่วนคนที่มีเครดิตสูงจะได้รับบริการที่ลัดขั้นตอน ชีวิตจะพบแต่ความสะดวกรวดเร็ว

ป้ายสาธารณะครอบครัวดีเด่นตามระบบเครดิตสังคม
ป้ายสาธารณะครอบครัวดีเด่นตามระบบเครดิตสังคม

คะแนนความน่าเชื่อถือของประชากรแบ่งออกเป็นการให้คะแนนตามกิจกรรมต่างๆ เช่น การ shopping หรือ ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งประชากรจีนไม่ได้ต่อต้านระบบนี้เท่าไหร่นัก เพราะหากคุณมีคะแนนตั้งแต่ 600 คะแนนเป็นต้นไป เขาจะมีโอกาสในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าออนไลน์ได้สูงถึง 5,000 หยวน (ประมาณ 25,000 บาท) หรือถ้ามีคะแนนสูงถึง 650 คุณจะสามารถเช่ารถได้โดยไม่ต้องมีค่ามัดจำ ความพิเศษสูงขึ้นเรื่อยๆ หากคะแนนสูงถึง 700 คุณจะสมัครไปเที่ยวสิงคโปรได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเอกสารประกอบการยื่นคำร้อง และหากคะแนนสูงไปถึง 750 คะแนน คุณจะได้ Fast-trached ในการขอวีซ่ายุโรป

ข้อมูลจาก สำนักข่าว FP ที่สัมภาษณ์ประชาชนในเมืองหยงเฉิง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าระบบเครดิตสังคมทำให้เมือง “ดีขึ้นทันตา” เช่น เขาและเธอรู้สึกว่าพฤติกรรมบนท้องถนนของคนในเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยคนขับรถยอมหยุดให้คนเดินข้ามถนนมากขึ้น เป็นต้น

แต่ในทางกลับกับหากมีคะแนนต่ำก็จะถูกลงโทษ เช่น ให้ความเร็วในการใช้ internet ต่ำลง, ห้ามไม่ให้เข้าร้านอาหารบางร้าน และห้ามเที่ยวต่างประเทศ รวมไปถึงอาจมีผลต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีคะแนนต่ำจากการกระทำที่ไม่เหมาะสม เช่น เลี่ยงภาษี, หลอกลวงผู้อื่น, สร้างโฆษณาปลอม  หรือนั่งที่ผู้อื่นบนรถไฟ เป็นต้น ก็จะถูกกีดกันออกจากสังคม ถูกห้ามไม่ให้เดินทาง หรือไม่สามารถทำงานร่วมกับรัฐบาลได้ ทางการจีนคาดว่าระบบดังกล่าวจะสามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมของประชากรจีนได้หมดทุกคนภายในปี 2563 โดยทางการคาดว่าเพียงแค่มีลายนิ้วมือหรือชีวมาตร (Biometrics) ที่ร่างกายก็สามารถค้นหาตัวตนบุคคลนั้นๆ ได้ทันที

ที่มา
https://www.wired.co.uk
https://nhglobalpartners.com
https://www.gsb.or.th